เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังเทศน์ ฟังเทศน์นะ เทศน์คือการสอน การสอนนะ เราไม่มีคนสอน เราไม่รู้จักตัวเราเองหรอก ดูสิ ภาษิตจีนนะ เห็นไหม เผาถั่ว เผาถั่วโดยใช้ต้นถั่ว ต้นถั่ว เห็นไหม เขาจะต้มถั่ว เขาใช้รากถั่วต้นถั่วมาต้มน้ำต้มถั่ว เห็นไหม ต้มให้มันสุกไง นี่ภาษิตจีน
เหมือนกันชีวิตเรา เห็นไหม ชีวิตเรามันเผาผลาญตัวเอง ธาตุไฟมันเผาตัวเอง อาหารเรากินเข้าไปเพื่อจะหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่มันก็เผาทำลายตัวเองนะ ถ้าเราเผาทำลายตัวเอง เห็นไหม น้ำในปัจจุบัน บ่อน้ำในคือชีวิตเรา คือบ่อน้ำ บ่อน้ำบ่อนี้ไม่กินจะไปกินบ่อน้ำหน้า จะไปกินบ่อน้ำหน้ากันนะ น้ำบ่อปัจจุบันไม่เคยดูแลไม่เคยรักษา ถ้าเราดูแลรักษาน้ำบ่อนี้ เรากินเดี๋ยวนี้ เรากินปัจจุบันนี้ เห็นไหม
ต้มถั่วโดยใช้เผาถั่ว นี่ชีวิตของเรา แล้วเครือญาติของเรา ตระกูลของเรา เห็นไหม กาลเวลามันกินตัวมันเองไง ถ้ากาลเวลามันกินตัวมันเองตลอดไป เห็นไหม มันเผาถั่ว มันต้มถั่วนะ ถ้ามันเผาถั่วมันต้มถั่ว ต้มทำไม? ต้มให้มันสุก สุกนี่เพื่ออะไร? เพื่อเป็นอาหารใช่ไหม? แต่ถ้ามันเป็นตระกูลล่ะ? มันเป็นการสิ้นเปลืองไปล่ะ? การสิ้นเวลาไป เห็นไหม
ร่างกายเราก็เหมือนกัน ร่างกายของเรานะ ตั้งแต่เจริญเติบโตมา ตั้งแต่เด็กมาจะเป็นผู้ใหญ่ไป แล้วจะต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา เห็นไหม ต้มถั่วโดยใช้ชีวิตเรา มันเผาทำลายตัวมันเองไป ถ้ามันเผาทำลายตัวมันเองไป นี่เป็นธรรมชาติของมัน เพียงแต่เราไม่ได้สังเกตุตรงนี้ไง เราคิดแต่ความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราถ้าเรามีความสุข มีความปรารถนา ถ้าความสุขความปรารถนามันเป็นมรรค มันเป็นความดี มันก็เป็นความดีกับเรา
คนเราเกิดมาสมบัติที่จะเป็นกับใจ มันมีแต่ความดีกับความชั่วจะตามสิ่งนี้ไป แต่โลกนี้เห็นไหม ทรัพยากร สิ่งที่เป็นธาตุหรือเป็นวัตถุใช้สอย เขาใช้สอยขนาดไหน เราเป็นผู้ดี เราเป็นคนที่จิตใจเป็นธรรม เราก็ใช้ทรัพยากรอย่างนี้ โจรมันจะปล้น มหาโจรมันจะปล้น มันก็ใช้ทรัพยากรอย่างนี้เหมือนกัน สิ่งที่มันใช้ไปคนใช้เหมือนกัน คนใช้เหมือนกัน ใช้ในทางที่ดีและใช้ในทางที่ไม่ดี
ชีวิตก็เหมือนกัน ชีวิตเราใช้ในทางที่ดี เห็นไหม การทำมาหากิน เราทำมาหากินของเรา มันเป็นหน้าที่การงาน แต่ถ้าเราทำแล้วน่ะหัวใจให้มันเปิดกว้าง ถ้าหัวใจมันเปิดกว้างขึ้นมา ถ้าหัวใจมันเปิดกว้าง หัวใจเป็นสาธารณะนะ ถ้าหัวใจเห็นแก่ตัวเป็นหัวใจส่วนบุคคล หัวใจของเราเห็นไหม ทรัพย์สินเป็นของของเรา สิ่งนี้เป็นของของเรา เราหามาแล้วมันพยายามจะเป็นของของเรา แล้วกลับไม่เป็น กลับไม่เป็นเพราะอะไร? เพราะเราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา สิ่งนี้มันพลัดพรากจากเราวันยังค่ำนะ
ในศาสนาของเรา เห็นไหม สอนให้ทำบุญกุศล ทำบุญกุศลสิ่งที่เราเสียสละไปมันคืออะไร? สิ่งที่เป็นธาตุ ธาตุวัตถุ เห็นไหม มันไว้ในประจำโลกนี้ สิ่งที่เสียสละคือน้ำใจ น้ำใจของคนที่มันเสียสละสิ่งนี้ออกไป ถ้ามันเสียสละสิ่งนี้ออกไปมันพัฒนาของมันขึ้นมา เพราะการเสียสละ ดูสิ เราเป็นผู้ให้ ถ้าเราให้ด้วยศรัทธาความเชื่อนะ เราจะมีความสุขของเรา เพราะเราพอใจ แต่ถ้าเราโดนหลอกนะ เราไม่ไว้ใจสิ่งต่างๆ เราให้แล้วเราจะมามีความวิตกกังวล ความวิตกกังวล เห็นไหม นี่บุญมันต่างกันตรงนี้ไง ตรงที่เราให้นะ ปฏิคา ๖ ผู้ให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับ รับด้วยความบริสุทธิ์ เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นสังคมโลก มันเป็นของของโลก โลกใช้ประโยชน์เป็นประโยชน์ไป
ถ้ามันเสียสละออกไป การเสียสละออกไป เราแสวงหามาได้ สิ่งที่เราเสียสละออกไป เราหาได้นะ วัตถุนี้เราหาได้ แต่ชีวิตของเรา สิ่งที่เป็นไปในหัวใจ เห็นไหม กาลเวลามันล่วงไป แล้วเราเอาคืนมาไม่ได้นะ สิ่งที่ทำมาแล้วล่วงไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้หรอก มันจะไหลไปตามธรรมชาติของมัน ชีวิตนี้จะไหลไปตามธรรมชาติของมัน มันจะไหลไปอย่างนี้ แล้วถ้าไหลไปอย่างนี้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เราทำล่วงมาแล้ว นึกเสียใจย้อนหลังแล้วสิ่งนั้นไม่ดีเลย ไม่ดีเลยนะ เราเสียใจร้องไห้ ถึงเวลามีความทุกข์ของเรา สิ่งนั้นไม่ดีเลย แล้วในปัจจุบันนี้ ชีวิตเราในปัจจุบันนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้เรามีจุดยืนของเรา เราทำชีวิตของเราให้เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเรานะ ประโยชน์กับเรา เห็นไหม ตั้งสติ ตั้งสติทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าตั้งสติทำหัวใจสงบเข้ามาเราจะเห็นคุณค่าของชีวิต เราจะค่าของหัวใจ คุณค่าของหัวใจนะ
ซากศพ เห็นไหม ต่างๆ เขาไปทิ้งไว้ในป่าช้านะ พระภิกษุเวลาไปเที่ยวป่าช้า ยังไปเห็นสิ่งนั้นไปเป็นประโยชน์กับเราได้ เห็นไหม สิ่งนี้มันอยู่กับเรา ร่างกายมันอยู่กับเรานะ ชีวิตอยู่กับเราเลย ทำไมมันไม่เป็นประโยชน์กับเราล่ะ? มันไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย เราตายไปแล้ว เราเสียสละซากศพนี้ให้กับทางการศึกษาเขา เขาเรียกอาจารย์ใหญ่นะ ซากศพเวลาเขาเสียสละไปนะ เวลาผู้ที่เขามาศึกษา ศึกษาเป็นวิชาชีพของเขา ศึกษาเพื่อมาเป็นการรักษาพยาบาลกัน เห็นไหม นี่อาจารย์ใหญ่
เป็นอาจารย์ใหญ่ให้คนอื่นได้ แต่เป็นอาจารย์ใหญ่ให้ตัวเองไม่ได้ ตัวเองเป็นเจ้าของซากศพแล้วไม่เอาจากซากศพนี้เป็นประโยชน์เลย ถ้าเอาซากศพเป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ซากศพเป็นประโยชน์ หัวใจมันจะเห็นเลย ชีวิต เห็นไหม ชีวิตนี้เป็นอย่างนี้ ชีวิตเป็นอย่างนี้ แล้วเกิดมามันเป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์นะ ทรัพย์ตรงไหน? ทรัพย์ที่ว่ามนุษย์สมบัติไง ถ้ามนุษย์สมบัติมันมีร่างกาย มันมีอาจารย์ใหญ่ มีสิ่งที่เจ็บปวดแสบร้อน มีสิ่งที่หิวกระหาย มีสิ่งที่เราต้องหาอาหารมาป้อนมัน สิ่งที่ป้อนมันน่ะ แล้วเวลาเทวดาเขาไม่มีร่างกาย เขากินอาหารเป็นทิพย์ เขาไม่มีร่างกาย เขาไม่ต้องเอาอาหารมาป้อนอย่างนี้ แต่หัวใจมันก็ต้องกินวิญญาณาหาร
วิญญาณ วิญญาณคืออารมณ์ไง ใจ ดูความคิดสิ เวลาเราคิด เห็นไหม คิด จิตมันอยู่ที่ไหน เวลามันมีความคิดขึ้นมา จิตมันรู้สึกตัวมันขึ้นมาได้อย่างไร เห็นไหม เทวดาเขากินกันอย่างนี้ วิญญาณาหารมันเป็นทิพย์ มันเป็นทิพย์มันไม่มีการขับถ่าย แต่มันก็มีการขับถ่ายด้วยอารมณ์ความรู้สึก คือมันสุขมันทุกข์ไง เวลามันสุขมันทุกข์ขึ้นมามันก็มีความรู้สึกของมันอย่างนั้น ถ้าความรู้สึกอย่างนั้น เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นทิพย์ สิ่งที่มันเป็นหัวใจ แล้วถ้าเรามีคุณค่าขึ้นมา เราเห็นหัวใจของเราขึ้นมา เห็นไหม
ถ้าคนที่มีธรรมนะ มันจะเห็นประโยชน์ เห็นประโยชน์ในการดูแลรักษาชีวิตของเรา เห็นประโยชน์กับความรู้สึกของเรา ดูสิ ร่างกาย เห็นไหม ดูสิเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาหายา หาสิ่งใดถนอมรักษาให้มันหาย แต่เวลามันสุขมันทุกข์ เราจะเอาอะไรไปถนอมรักษามัน เราจะเอายาอะไรไปรักษามัน เราจะเอายาอะไรไปรักษาความทุกข์ ไปรักษาสิ่งที่มันหมักหมมหัวใจ เห็นไหม
ธรรมะนะ ธรรมะ เห็นไหม ดูสิ เราพุทโธ พุทโธ พุทโธ มันเป็นบ่อลึก สิ่งที่มันเป็นเหว สิ่งใดตกลงไปก็ได้ ก้นเหว เห็นไหม ตกลงไปนี่สิ่งกระทบ ความรู้สึกที่ทุกข์มันเป็นก้นเหว มันรองรับอารมณ์ มันกินวิญญาณาหาร มันกินอารมณ์ความรู้สึก มันกินสิ่งต่างๆ มันมาเสวยอารมณ์มันมีความคิดสิ่งใดที่เจ็บแสบปวดร้อน มันจะคิดโดยสิ่งสภาวะแบบนั้น เราพุทโธ พุทโธ พุทโธ เราถมจนเหวนี้เต็มนะ สิ่งใดมันตกมาในเหวไม่ได้ เพราะพื้นดินมันสูงกว่า เวลามันตกมามันจะกลิ้งไปที่ต่ำ เห็นไหม
ถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน จิตนี่ สิ่งที่ว่าเป็นความทุกข์ มันจะเข้าใจสภาวะเป็นอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดดับๆ มันเป็นธรรมดา ความคิดนี้เป็นธรรมดา พลังงานไฟฟ้า ดูสิ เราสร้างพลังงานกันมา ไฟฟ้าเอาสายส่งกันมาเพื่อจะใช้ประโยชน์นะ ดูสิ เวลาเมฆบนอากาศที่มันสับกัน เห็นไหม สิ่งที่เราใช้ประโยชน์ไม่ได้ เราเก็บมาเป็นประโยชน์กับเราไม่ได้ สิ่งที่มันเกิดดับๆ ในหัวใจมันทำลายเรามาตลอดนะ สิ่งที่มันทำลายตลอดน่ะพลังงานนี่มันทำลายมาตลอดเลย แต่ถ้าเราทำใจของเราให้มั่นคงขึ้นมา แล้วมันความอิ่มเต็ม เห็นไหม สิ่งนี้มันจะทำลายเราไม่ได้
ความคิด ความสุข ความทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยกิเลสจะทำลายเราไม่ได้เลย ถ้าทำลายไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเราปิดกั้นนะ เรารักษา เห็นไหม สิ่งนี้มันถึงเป็นประโยชน์กับเรา นี่อาหารของใจ ถ้าอาหารของใจรักษาได้อย่างนี้ แล้วเกิดมีปัญญาขึ้นมานะ ในการใคร่ครวญ ในการทำงานของมันนะ ในมรรคญาณ มรรคคือว่าสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพโดยเลี้ยงซากศพ ไม่ใช่เลี้ยงหัวใจ เลี้ยงซากศพนะ แต่ถ้าเลี้ยงซากศพ เลี้ยงซากศพคือเลี้ยงร่างกายเรา
แต่ถ้ามันมีความคิดที่ดี มีความเป็นไปที่ดี เห็นไหม ในมุมมองของคนที่มีปัญญา จะมุมมองว่าชีวิตมันมีคุณค่าอย่างนี้ แบ่งเวลาถูกไง แบ่งเวลาว่าอาชีพของเรา เราต้องหาเลี้ยงดูเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วถ้ามียังมีหัวใจ เห็นไหม เราจะหาเวลาของเราเพื่อจะดูแลหัวใจเราด้วย แต่ถ้ามันเป็นโลก มันจะดูแลแต่ร่างกาย สิ่งนี้ยึดมั่นว่าความตกไปข้างใดข้างหนึ่งระหว่างกายกับใจ ถ้าตกไปข้างหนึ่งมันก็ตกไปกับโลก ตกไปกับการยึดมั่นถือมั่นของโลกเขา หัวใจโดนฉุดกระชากลากไปนะ มันจะทุกข์มาก เพราะสิ่งนี้มันแสวงหามา แสวงหามาสิ่งที่ของพลัดพรากไง เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เห็นไหม เราใช้สอยไป มันพลัดพรากจากเราไป แต่ถ้าเราตามจับมันไป เราต้องพลัดพรากจากมัน
สิ่งนี้มันมีเห็นไหม ถึงว่ามันเป็นสาธารณะไง ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอก สมบัติผลัดกันชม ใครมีโอกาสได้คุ้มครองดูแลรักษาชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนมือไป เปลี่ยนมือไป เป็นธรรมดาของมัน สิ่งนี้เป็นธรรมดาของมัน เห็นไหม
แต่ถ้าเรามีหัวใจของเรานะ นี่เป็นหน้าที่ นี้เป็นหน้าที่ นี้เป็นหน้าที่การบริหารจัดการของสังคม สังคมเราบริหารจัดการ นี้เป็นหน้าที่ แต่เราทำประโยชน์กับเรา ถ้าสิ่งนี้เป็นหน้าที่แล้ว แล้วหน้าที่อีกอันหนึ่ง หน้าที่คือว่าดูแลชีวิตของเรา เห็นไหม เราจะไม่ตกไปในสิ่งที่เป็นเรื่องของแรงดึงดูดของโลกเขา เราจะกลับมาเป็นตัวของตัวเราเอง ถ้าเรากลับไปเป็นตัวของตัวเราเอง เห็นไหม เราจะมองเห็น เราจะแบ่งกาลเวลา แบ่งการดำรงชีวิตไง
ถ้าเราเป็นโลกนะ มันจะบอก ไม่มีเวลา ทำอะไรก็ไม่ได้ เวลาชีวิตมันยังบริหารจัดการไม่ได้เลย จะเอาเวลาที่ไหนไปประพฤติปฏิบัติ จะเอาเวลาที่ไหนไปรักษาตัวเอง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไปโรงพยาบาลทำไม? ดูแลตัวเองทำไม? แล้วทำไมเวลาใจมันทุกข์ ทำไมมันไม่ดูแลตัวมัน ทำไมมันไม่ดูแลใจของตัวเอง
ในเมื่อมีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มีสติสัมปชัญญะอยู่ มันดูตัวเองได้แล้ว นี่คือการถม ถมสิ่งที่เป็นเหวบ่อลึกในหัวใจให้มันเต็มขึ้นมาได้ กำหนดไว้ที่นี่ เอาความรู้สึกกำหนดลมหายใจ ความรู้สึกเข้าและความรู้สึกออก ความรู้สึกลมเข้า-ลมออก นี่อานาปานสติ เห็นไหม จิตมันอยู่ที่นี่ สิ่งที่เป็นตะกอนถมมันจะขึ้นมาจากก้นบึ้งของใจขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ถ้าเราปล่อยออกไป เห็นไหม เราปล่อยออกไป ความรับรู้สึกจากภายนอก ความรับรู้ต่างๆ ออกไปข้างนอกหมดเลย เหวมันลึกขึ้นเรื่อยๆ เหวมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ เห็นไหม
สิ่งที่มันเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่อยู่กับเราแท้ๆ ของอยู่ในมือเราทั้งหมดเลย แต่ไม่รู้จักบริหารจัดการ ไม่รู้จักวิธีรักษา บอกว่า ภาวนาต้องไปวัด ภาวนาต้องไปหาที่สงัดวิเวก
..สงัดวิเวกมันสำหรับนักกีฬาอาชีพ นักกีฬาอาชีพเขาต้องฝึกฝนตลอดเวลา แล้วเวลาเขาขึ้นแข่งขันเพราะเขามีคู่ต่อสู้ที่เสมอกัน นักรบ นักรบภิกษุ นักรบที่เห็นภัยในวัฏฏะ เห็นไหม ถ้าตลอด ๒๔ ชั่วโมงออกป่าออกเขา ออกป่าออกเขาเพราะอะไร เพราะต้องการเวลา จะไม่ให้เสียเวลา
อย่างเช่นปัจจุบันนี้ เห็นไหม เสียเวลาไปกับสังคม สังคมมันเสียเวลาไป เพราะอะไร? เพราะเราเป็นสัตว์สังคม เราต้องมีการบริหารจัดการกัน แต่ถ้าเราวิเวก เราปลีกตัวเราออกไป เราหาพลังชีวิตของเรา แล้วเรารักษาของเรา เห็นไหม เห็นภัยในวัฏสงสาร จะกำหนดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ถ้ากำหนดตลอด ๒๔ ชั่วโมง การเคลื่อนไหว การเหยียดคู่ไป ๗ วัน ๗ คืน การประพฤติปฏิบัติตลอดทุกวินาทีไม่มีเวลาเผลอเลย สิ่งนั้นเป็นการต่อสู้กับกิเลส เพราะกิเลสมันหาช่องทางจะข่มขี่เราตลอดเวลา เห็นไหม
ถ้านักกีฬาอาชีพ เขาต้องฝึกซ้อมของเขาด้วยความตั้งใจของเขา เป็นกติกาการดำรงชีวิตของเขา เพราะเขามีอาชีพอย่างนั้น นักรบ! นักรบคือนักพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องมีกาลเวลา ต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัว ต้องต่อสู้กับสิ่งที่มันจะคอยทิ่มแทงออกมาจากหัวใจ ทิ่มแทงออกมาจากภายใน ทิ่มแทงออกมาจากภายใน ทิ่มแทงออกมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรานี่แหละ สิ่งที่มันทิ่มแทงออกมา เห็นไหม แต่ถ้าเราไม่มีการดูแลรักษากันขนาดนี้ เราจะไม่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมโดยสัจจะความจริง ที่เห็นกันนี้เป็นสามัญสำนึก ที่เป็นความปกติของความรู้สึก เห็นไหม
การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้มันเพียงแต่ว่า เวลาถ้ารบจริงมันไปรบอีกกระบวนท่าหนึ่ง แต่ขณะนี้ใช้ชีวิตประจำวันนี้ เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติเราก็ต้องมีสิ่งใดเป็นคุณประโยชน์กับเรา ถ้าใจเป็นธรรมมันมองเห็นเป็นประโยชน์ไง มองเห็นการดำรงชีวิต มองเห็นการเป็นไป มันมีโอกาสได้กระทำ ไม่ใช่ให้กิเลสมันเรียกร้องว่า ไม่มีเวลา ทำอะไรก็ไม่ได้ เฉพาะชีวิตนี้ก็เหลือจะต่อสู้กับมันอยู่แล้ว ยังจะต้องแบ่งไปอีกเหรอ
..ก็การแบ่งไปนั่นแหละ การแบ่งเวลา การตั้งสติ นี่คือการรักษาสิ่งที่มันเป็นความสุขความทุกข์จากภายใน มันเป็นความจริงนะ
การแสวงหาจากภายนอก เห็นไหม ถ้าโลกนี้เจริญนะ ถ้าใช้กฎหมายในทางสังคม เห็นไหม รัฐบาลต้องดูแล การสวัสดิการ ผู้เฒ่าผู้แก่เขาจะดูแล นี่ทางสังคม ทางรัฐบาลเขายังดูแล ดูแลเรื่องร่างกายนี้กันไป มันจะเสมอภาค มันจะได้มากได้น้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรื่องของหัวใจไม่มีใครดูแลให้ใครได้หรอก
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้บอก เพราะสิ่งนี้มันอยู่ในหัวอกของเรา มันอยู่ในความรู้สึกของเรา เราต้องถนอมเอง เราต้องเห็นคุณค่า เราถึงจะถนอมจะรักษา ถ้าเราไม่เห็นคุณค่า เราก็มองแต่วัตถุมีคุณค่า มองเห็นสิ่งที่เป็นนามธรรมในหัวใจไม่มีคุณค่า ถ้าเราเห็นคุณค่านะ หัวใจนี้มีคุณค่า ความเป็นอยู่จากภายนอกมันก็จะเสริมหัวใจขึ้นมา ให้มีคุณค่าขึ้นมา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่คือธรรมะ เอวัง